ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): จอมมารขัดขวางการตั้งครรภ์ หรือแค่เรื่องซุบซิบ?
บทนำ: มาทำความรู้จักกับ PCOS กันหน่อยไหม...ถ้าอยากรู้จริงๆ น่ะนะ
โอ้โห มาถึงก็ถามเรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย "PCOS ทำให้มีลูกยากจริงไหม" แหม... ถามเหมือนไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนเลย ทั้งๆ ที่เป็นภาวะฮิตติดลมบนในหมู่สาวๆ วัยเจริญพันธุ์ ที่ฮิตกว่าเพลงติดหูใน TikTok ซะอีก ก็บอกเลยว่าใช่ค่ะ! PCOS หรือ Polycystic Ovary Syndrome เนี่ย มันไม่ใช่แค่อาการหน้ามันเยิ้ม สิวบุก หรือประจำเดือนมาแบบ "มาบ้าง ไม่มาบ้าง" นะยะ แต่มันคือการ์ดเชิญพิเศษที่ทำให้การตั้งครรภ์ของคุณกลายเป็นภารกิจสุดหิน เหมือนจะไปดาวอังคารด้วยสกู๊ตเตอร์น่ะแหละ ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าเจ้า PCOS นี่มันร้ายกาจขนาดไหน หรือแค่คุณหมอเขาชอบตีโพยตีพายเกินจริง วันนี้ 9tum คนนี้จะมาไขให้กระจ่างแบบไม่ต้องไปนั่งฟังบรรยายที่ไหนให้เสียเวลา (และเสียเงิน) มาดูกันว่าไอ้ถุงน้ำที่ว่าเนี่ย มันไปป่วนวงจรชีวิตสาวๆ เรายังไงกันแน่
PCOS คืออะไรกันแน่? ไม่ใช่แค่หน้ามันเหมือนทอดไข่ดาวนะ!
PCOS: ความหมายแบบไม่อ้อมค้อม
เอาล่ะ มาทำความเข้าใจเรื่อง PCOS กันแบบง่ายๆ ก่อนนะ จะได้ไม่ต้องไปมั่วซั่วกับข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่เขาว่ากันไปเรื่อยเปื่อย PCOS ย่อมาจาก Polycystic Ovary Syndrome หรือที่ภาษาบ้านๆ เราเรียกกันว่า "ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ" ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันเกี่ยวกับ "ถุงน้ำ" ที่ไปกองๆ กันอยู่ใน "รังไข่" แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้มีแค่ถุงน้ำอย่างเดียวนะ มันคือกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้วงจรการตกไข่ของผู้หญิงเสียสมดุลไป พูดง่ายๆ คือ รังไข่ของคุณมันไม่ยอมปล่อยไข่ออกมาตามฤกษ์ตามยามที่ควรจะเป็นน่ะสิ แล้วไข่ที่ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาเนี่ย มันก็เลยไปรวมตัวกันเป็นถุงน้ำเล็กๆ ที่เราเรียกกันว่า "ถุงน้ำรังไข่" (Polycystic) ซึ่งมันไม่ได้มีแค่อันสองอันนะ แต่มันมาเป็นกองทัพเลยทีเดียว
สาเหตุที่แท้จริง? หมอก็ยังงงๆ อยู่เลย!
ถ้าถามว่าอะไรเป็นสาเหตุหลักของ PCOS เนี่ยนะ... บอกตรงๆ เลยว่าหมอเขาก็ยังฟันธงเป๊ะๆ ไม่ได้เหมือนกันแหละ! แต่มันก็มีปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อกันว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม (ถ้าแม่หรือพี่น้องเป็น คุณก็มีสิทธิ์เป็นไปด้วยนะยะ) ความผิดปกติของฮอร์โมน (ที่ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศชายมากเกินไป หรือที่เรียกว่า Androgen) หรือแม้กระทั่งภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ที่ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งภาวะนี้มันก็ไปกระตุ้นให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนเพศชายออกมาเยอะขึ้นอีกที เป็นวงจรที่น่าปวดหัวมาก แล้วก็อย่าลืมเรื่องน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วนด้วยนะ เพราะไขมันส่วนเกินนี่แหละตัวดีเลยที่ไปปั่นป่วนสมดุลฮอร์โมนในร่างกายให้พังพินาศไปใหญ่ ทำให้การตกไข่ยิ่งแย่ลงไปอีก
อาการของ PCOS: สัญญาณเตือนที่ไม่อยากให้คุณมองข้าม
ทีนี้มาดูอาการกันบ้างนะว่าเจ้า PCOS เนี่ย มันมีหน้าตาเป็นยังไง จะได้รู้ตัวทันก่อนที่มันจะสร้างปัญหาให้คุณหัวเสียไปมากกว่านี้ อาการที่พบบ่อยๆ ก็จะมี:
1. รอบประจำเดือนมาผิดปกติ: นี่คือสัญญาณคลาสสิกเลย คือประจำเดือนอาจจะมาน้อยกว่า 8 ครั้งต่อปี หรือห่างกันเกิน 35 วัน หรือบางทีก็มาแบบกะปริดกะปรอย ไม่สม่ำเสมอจนคุณเดาใจไม่ถูกเลยสักนิด
2. มีฮอร์โมน Androgen สูงเกินไป: อันนี้ก็สังเกตได้จากอาการภายนอก เช่น มีสิวอักเสบเยอะมาก โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า คาง หรือหลัง บางคนอาจจะมีขนขึ้นดกผิดปกติในบริเวณที่ไม่ควรมี เช่น เหนือริมฝีปาก หนวด เครา หรือหน้าอก ก็เป็นได้นะ
3. มีถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่: อันนี้ต้องอาศัยการอัลตราซาวด์ถึงจะเห็นชัดเจน แต่มันก็เป็นหนึ่งในเกณฑ์การวินิจฉัยของ PCOS ไงล่ะ
4. มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน: ซึ่งอาจจะมาพร้อมกับน้ำหนักตัวเกิน หรือมีประวัติเบาหวานในครอบครัว
5. อาการอื่นๆ ที่อาจพบเจอ: เช่น ผมบาง ศีรษะล้านแบบผู้ชาย ผิวคล้ำในบางบริเวณอย่างข้อพับ หรือตามซอกคอ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
PCOS กับการมีลูกยาก: ความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!
ทำไม PCOS ถึงทำให้มีลูกยาก?
มาถึงประเด็นสำคัญที่เราคุยกันตั้งแต่ต้นนะ คือ "PCOS ทำให้มีลูกยากจริงไหม" คำตอบคือ "จริงยิ่งกว่าจริง" เลยจ้ะ! อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า PCOS ทำให้การตกไข่ของคุณเสียสมดุล ซึ่งการตกไข่เนี่ย เป็นหัวใจหลักของการตั้งครรภ์เลยนะ ถ้าไม่มีไข่ หรือไข่ไม่สมบูรณ์ จะมีอสุจิมาเจอได้อย่างไรล่ะ?
1. การตกไข่ที่ผิดปกติ: ผู้หญิงที่เป็น PCOS มักจะตกไข่ไม่สม่ำเสมอ หรือบางคนก็ไม่ตกไข่เลยเป็นเดือนๆ ทำให้โอกาสในการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่ไข่ตก (Ovulation) ลดลงไปอย่างมาก แล้วคุณจะไปคาดหวังอะไรได้ล่ะคะ ถ้าไข่ไม่ออกมาให้เจอ
2. คุณภาพของไข่ที่อาจไม่สมบูรณ์: บางครั้ง แม้ว่าไข่จะถูกปล่อยออกมา แต่ด้วยความผิดปกติของฮอร์โมนและสภาพแวดล้อมในรังไข่ที่อาจไม่เหมาะสม คุณภาพของไข่อาจจะไม่ดีพอที่จะถูกผสมกับอสุจิ หรือถ้าผสมได้ ตัวอ่อนก็อาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะฝังตัวในมดลูก
3. ความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก: ฮอร์โมนที่ไม่สมดุลใน PCOS อาจส่งผลกระทบต่อความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้ไม่เอื้อต่อการฝังตัวของตัวอ่อน แม้ว่าไข่จะได้รับการผสมแล้วก็ตาม
4. ปัญหาอื่นๆ ที่แฝงมา: อย่างภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือน้ำหนักเกิน ก็ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อภาวะเจริญพันธุ์โดยตรงทั้งสิ้น
ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีลูกนะ! อย่าเพิ่งหมดหวัง
แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าถ้าเป็น PCOS แล้วจะไม่มีลูกนะยะ! นั่นมันความคิดแบบเด็กๆ เลยล่ะ! PCOS มันเป็นภาวะที่สามารถจัดการได้ และผู้หญิงที่เป็น PCOS หลายคนก็สามารถตั้งครรภ์และมีลูกได้สำเร็จ เพียงแต่คุณอาจจะต้องพึ่งพาการรักษาทางการแพทย์ หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างให้มากขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรขนาดนั้น แค่ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง
การวินิจฉัย PCOS: ไปให้หมอเขาวินิจฉัยให้รู้แล้วรู้รอดไป!
หมอเขาดูอะไรบ้าง?
ถ้าคุณสงสัยว่าตัวเองอาจจะเป็น PCOS แล้วล่ะก็... อย่ามัวแต่เดาเองจากเน็ตนะยะ! ไปหาหมอเถอะ! คุณหมอเขาจะวินิจฉัยโดยดูจากหลายๆ ปัจจัยรวมกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การวินิจฉัย PCOS จะต้องมีอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อนี้:
1. ประวัติประจำเดือนผิดปกติ: อย่างที่บอกไปแล้ว คือประจำเดือนมาน้อย มาห่าง หรือไม่มาเลย
2. อาการของภาวะ Androgen สูง: ไม่ว่าจะจากอาการทางคลินิก เช่น สิว ขนดก หรือจากการตรวจเลือดที่พบว่ามีฮอร์โมนเพศชายสูง
3. ลักษณะรังไข่ที่พบจากการอัลตราซาวด์: จะเห็นเป็นถุงน้ำเล็กๆ จำนวนมากเรียงตัวอยู่รอบๆ รังไข่ เหมือนสร้อยคอไข่มุก หรือรังไข่มีขนาดใหญ่ขึ้น
นอกจากนี้ คุณหมออาจจะมีการตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนอื่นๆ หรือตรวจหาภาวะอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการคล้าย PCOS ด้วยนะ เช่น การทำงานของต่อมไทรอยด์ หรือระดับโปรแลคติน
การตรวจเลือดและอัลตราซาวด์: ตัวช่วยสำคัญ
การตรวจเลือดก็เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะมันจะช่วยบอกเราได้ว่าระดับฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เช่น ฮอร์โมน LH, FSH, Testosterone, Prolactin, TSH และฮอร์โมนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนการอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound) ก็จะช่วยให้เห็นภาพรังไข่ได้อย่างชัดเจน ว่ามีลักษณะเป็นถุงน้ำหลายใบจริงไหม รังไข่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเปล่า ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณหมอวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
การรักษา PCOS: จัดการกับมันซะ!
ปรับไลฟ์สไตล์: พื้นฐานสำคัญที่ห้ามมองข้าม
ก่อนจะไปพูดถึงยาหรือการรักษาที่ซับซ้อนนะ... อยากจะบอกว่า การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์นี่แหละคือรากฐานที่สำคัญที่สุดในการจัดการกับ PCOS ถ้าคุณยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ กินแต่อาหารขยะ ออกกำลังกายน้อยๆ นอนดึก แล้วจะไปหวังให้ยาหรือการรักษาอื่นๆ มันได้ผลดีได้ยังไงล่ะ?
1. ควบคุมอาหาร: เน้นอาหารที่มีประโยชน์ ลดน้ำตาลและแป้งขัดขาว เพิ่มผัก ผลไม้ โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ใช่กินมื้อไหนก็ได้
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ไม่ต้องไปเข้ายิมแพงๆ ก็ได้นะ แค่เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิก ก็ช่วยได้แล้ว พยายามออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 150 นาที
3. ควบคุมน้ำหนัก: ถ้าคุณมีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักเพียง 5-10% ก็สามารถช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและทำให้การตกไข่ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
4. จัดการความเครียด: ความเครียดนี่ตัวร้ายเลยนะ ทำให้ฮอร์โมนยิ่งปั่นป่วนไปกันใหญ่ ลองหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น โยคะ ทำสมาธิ หรืออ่านหนังสือ
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับมีผลต่อฮอร์โมนอย่างมาก พยายามนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
ยารักษา PCOS: ตัวช่วยทางการแพทย์
ถ้าการปรับไลฟ์สไตล์อย่างเดียวมันยังไม่พอ คุณหมอก็อาจจะพิจารณาการใช้ยาเพื่อช่วยในการรักษา ซึ่งยาที่ใช้บ่อยๆ ก็จะมี:
1. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม: ช่วยควบคุมรอบประจำเดือน ลดระดับฮอร์โมนเพศชาย และช่วยเรื่องสิว ขนดก
2. ยา Metformin: เป็นยาที่ใช้รักษาเบาหวาน แต่ก็มีประสิทธิภาพในการช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และช่วยกระตุ้นการตกไข่ในผู้หญิงที่เป็น PCOS
3. ยา Clomiphene Citrate หรือ Letrozole: เป็นยาที่ใช้เพื่อกระตุ้นการตกไข่โดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตั้งครรภ์
4. ยาอื่นๆ: เช่น ยาที่ช่วยลดการเจริญเติบโตของขน หรือยารักษาสิว
การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้นนะยะ อย่าไปซื้อยามากินเองเด็ดขาด
การรักษาภาวะมีบุตรยาก: ถ้าธรรมชาติไม่เป็นใจ
สำหรับคู่สมรสที่พยายามมีบุตรแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ หรือมี PCOS ร่วมด้วย การรักษาภาวะมีบุตรยากก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าพิจารณา ซึ่งวิธีการรักษาที่นิยมก็มี เช่น:
1. การฉีดยากระตุ้นไข่ (Gonadotropins): เป็นการฉีดฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่หลายใบ
2. การทำ IUI (Intrauterine Insemination): เป็นการนำอสุจิที่ผ่านการคัดเชื้อแล้ว ฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรงในช่วงที่ไข่ตก
3. การทำ IVF (In Vitro Fertilization) หรือ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection): เป็นการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย คือนำไข่และอสุจิมาผสมกันในห้องปฏิบัติการ แล้วจึงย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก
การรักษาเหล่านี้อาจจะดูยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ถ้าคุณมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีบุตร การปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะเจริญพันธุ์ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด
ปัญหา และ การแก้ปัญหาที่พบบ่อย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PCOS และการมีลูกยาก
Q: เป็น PCOS แล้วจะมีลูกได้เองไหม?
A: มีโอกาสค่ะ แต่ก็ยากกว่าคนทั่วไป เพราะการตกไข่ผิดปกติ แต่ถ้าปรับพฤติกรรมและรักษาอย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้
Q: PCOS รักษาให้หายขาดได้ไหม?
A: PCOS เป็นภาวะเรื้อรังที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและจัดการกับภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้
Q: ต้องทานยาตลอดชีวิตไหม?
A: ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค คุณหมอจะพิจารณาตามความเหมาะสม
3 สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PCOS
PCOS ไม่ใช่แค่เรื่องท้อง
1. ความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ: ผู้หญิงที่เป็น PCOS มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2, โรคหัวใจ, โรคหยุดหายใจขณะหลับ, และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
2. ผลกระทบต่อสุขภาพจิต: อาการของ PCOS เช่น สิว ขนดก น้ำหนักขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและสุขภาพจิต ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้าได้
3. การป้องกัน PCOS ในอนาคต: แม้ว่าพันธุกรรมจะมีส่วน แต่การรักษาสุขภาพที่ดีตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด PCOS หรือลดความรุนแรงของอาการได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: เป็น PCOS แล้วจะมีลูกยากจริงไหม?
ก็อย่างที่อธิบายไปนั่นแหละยะ! PCOS เป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของการมีบุตรยากในผู้หญิง เพราะมันรบกวนการตกไข่ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการตั้งครรภ์ ถ้าไข่ไม่ตก หรือตกไม่สม่ำเสมอ ก็เหมือนคุณพยายามจะเข้าบ้านแต่ประตูมันล็อคอยู่ตลอดเวลาไงล่ะคะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ แค่ต้องอาศัยการรักษาและปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
Q: อาการแบบไหนที่ควรสงสัยว่าตัวเองเป็น PCOS?
อืม... ลองสังเกตตัวเองดูนะ ถ้าประจำเดือนของคุณมันมาแบบ "นานๆ มาที" ห่างกันเป็นเดือนๆ หรือมาบ่อยจนคุณจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือถ้าหน้าคุณมันเยิ้ม สิวขึ้นเป็นสิวอักเสบตลอดเวลา แล้วก็มีขนขึ้นตามที่ต่างๆ เยอะกว่าปกติแบบผู้ชาย เช่น เหนือริมฝีปาก คาง หรือหน้าอก ถ้ามีอาการเหล่านี้ร่วมด้วยล่ะก็... อย่ามัวแต่โทษเครื่องสำอางหรืออากาศนะยะ ไปหาหมอให้เขาตรวจให้จะดีกว่า
Q: การรักษา PCOS ด้วยตัวเอง ทำได้อย่างไรบ้าง?
ถ้าอยากลองจัดการด้วยตัวเองก่อนที่จะไปพึ่งหมอ (ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ) สิ่งแรกที่ต้องทำคือ "เปลี่ยนพฤติกรรม" เลยยะ! ลดน้ำหนักถ้าอ้วน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ลดของหวานของมัน แล้วก็พยายามจัดการความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้ก็ช่วยให้ฮอร์โมนของคุณสมดุลขึ้นได้แล้วนะ แต่ถ้าทำแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรืออยากมีลูกจริงๆ ก็อย่าลังเลที่จะไปหาคุณหมอ
Q: PCOS มีผลต่อการตั้งครรภ์อย่างไรบ้าง?
ก็อย่างที่พูดไปซ้ำๆ นั่นแหละ! PCOS ทำให้มีลูกยาก เพราะมันไปป่วนการตกไข่ ทำให้ไข่ไม่ตก หรือตกน้อย โอกาสตั้งครรภ์เลยลดลง แถมบางทีคุณภาพไข่ก็อาจจะไม่ดีพอ หรือเยื่อบุโพรงมดลูกอาจจะไม่พร้อมรับตัวอ่อนอีกต่างหาก เรียกได้ว่ามีอุปสรรคหลายชั้นเลยทีเดียว แต่ก็อย่าเพิ่งท้อนะยะ! แค่รู้ว่ามีปัญหาแล้วก็หาทางแก้ไข
Q: หากเป็น PCOS และต้องการมีบุตร ควรเตรียมตัวอย่างไร?
อันดับแรกเลยนะยะ คือ "ไปหาหมอ" ค่ะ! ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับแผนการมีบุตรของคุณ เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพร่างกายและให้คำแนะนำที่เหมาะสม จากนั้นก็เริ่มปรับพฤติกรรมตามที่บอกไป คือ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และจัดการความเครียด ถ้าคุณหมอแนะนำให้ทานยาเพื่อกระตุ้นการตกไข่ ก็ทำตามนั้นอย่างเคร่งครัด และอย่าลืมปรึกษาคุณหมอเรื่องการใช้กรดโฟลิก (Folic Acid) ซึ่งจำเป็นมากสำหรับผู้หญิงที่วางแผนจะตั้งครรภ์
แนะนำ 2 เว็บไซต์ภาษาไทย ที่เกี่ยวข้อง
1. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
เว็บนี้ของโรงพยาบาลดังเชียวแหละ มีข้อมูลเกี่ยวกับ PCOS และภาวะมีบุตรยากแบบละเอียดเลยนะ เขาจะมีบทความที่อธิบายถึงสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และทางเลือกในการรักษาต่างๆ รวมถึงการทำเด็กหลอดแก้วด้วย ถ้าอยากได้ข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ ลองเข้าไปอ่านดูนะ: https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/pcos-polycystic-ovary-syndrome
2. โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
อีกที่ที่น่าเชื่อถือก็คือโรงพยาบาลศิริราชนี่แหละ มีข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพสตรีเยอะเลยนะ รวมถึงเรื่อง PCOS ด้วย เขาจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า PCOS คืออะไร แล้วมันส่งผลต่อการมีลูกอย่างไรบ้าง ถ้าอยากได้ข้อมูลแบบเข้าใจง่ายๆ ไม่ซับซ้อนมาก ลองดูที่นี่: https://www.siphhospital.com/th/news/article/contents/1315