ไขข้อข้องใจ: ค่า SEER แตกต่างกันอย่างไรในแอร์แต่ละประเภท? จะเลือกให้คุ้มยังไงให้รอด!
บทนำ: เมื่อความร้อนมันเล่นตลกกับชีวิต แล้วเราก็ต้องมานั่งปวดหัวกับค่าไฟ (อีกแล้ว!)
โอ้โห... มาถึงนี่ก็คงร้อนจนแทบจะละลายกันแล้วสินะ ไม่งั้นคงไม่มานั่งอ่านเรื่องค่า SEER หรอก จริงไหม? เข้าใจเลยๆ ความร้อนเมืองไทยมันไม่เคยปรานีใครจริงๆ แล้วพอความร้อนมาเยือน สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คือเจ้าเครื่องปรับอากาศนี่แหละ แต่พอลองไปเลือกซื้อเท่านั้นแหละ เจอกับคำว่า "SEER" เข้าไป เกิดอาการงงเป็นไก่ตาแตกอีก นี่มันอะไรกัน? ทำไมค่านี้มันถึงได้มีผลกับกระเป๋าตังค์ของเรานักหนา? แล้วไอ้เจ้าค่า SEER ที่ว่าเนี่ย มันแตกต่างกันยังไงในแอร์แต่ละประเภท? หรือว่ามันก็แค่ตัวเลขสวยๆ ที่คนขายเอามาโม้ให้เราฟัง? อย่าเพิ่งโวยวายไปครับ มานี่! 9tum จะมานั่งอธิบายแบบที่ถ้าไม่เข้าใจก็คงต้องไปบวชแล้วล่ะ เพราะนี่คือเรื่องพื้นฐานสุดๆ ของการเอาตัวรอดจากค่าไฟที่พุ่งสูงราวกับจรวด ยิ่งเข้าใจเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งประหยัดได้เร็วเท่านั้น เชื่อสิ ไม่ต้องขอบคุณหรอก ทำด้วยความเบื่อหน่ายล้วนๆ เลย
ค่า SEER: ทำความเข้าใจพื้นฐานก่อนจะไปต่อ (เดี๋ยวจะหาว่า 9tum ไม่บอก)
SEER คืออะไร? ไม่ใช่ซีรีส์เกาหลีนะคุณพี่!
เอาล่ะ มาดูกันทีละเรื่องนะ ไอ้เจ้าค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) เนี่ย มันก็เหมือนกับคะแนนวัดความอึดของแอร์เรานี่แหละครับ ยิ่งค่านี้สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่าแอร์เครื่องนั้นมันใช้พลังงานน้อยลงในการทำความเย็นให้ห้องของเรา พูดง่ายๆ ก็คือ "ยิ่งสูงยิ่งประหยัด" นั่นแหละ ไม่ต้องคิดเยอะ! มันคำนวณจากปริมาณความเย็นที่แอร์ทำได้ตลอดฤดูการใช้งาน หารด้วยปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปในช่วงเวลาเดียวกัน สมมติว่าแอร์เครื่องหนึ่งทำความเย็นได้ 100 หน่วย โดยใช้ไฟไป 10 หน่วย ค่า SEER ของมันก็คือ 10 ถ้าอีกเครื่องทำความเย็นได้ 100 หน่วยเท่ากัน แต่ใช้ไฟไปแค่ 5 หน่วย ค่า SEER ของมันก็จะเป็น 20 เห็นภาพยัง? หรือว่ายังต้องให้ยกตัวอย่างด้วยการชงกาแฟให้ดูอีก?
ทำไม SEER ถึงสำคัญกับชีวิตคุณ? (นอกเหนือจากค่าไฟแล้ว)
นี่แหละคือจุดสำคัญที่หลายคนมองข้าม! นอกจากเรื่องประหยัดเงินค่าไฟที่เห็นผลชัดเจนแล้ว ค่า SEER ที่สูงยังสะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ดีของแอร์ด้วยนะ แอร์ที่มีค่า SEER สูงมักจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า เช่น ระบบอินเวอร์เตอร์ ที่สามารถปรับรอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิห้องได้ ไม่ใช่เปิดๆ ปิดๆ เหมือนแอร์รุ่นเก่า ซึ่งนอกจากจะกินไฟน้อยแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของคอมเพรสเซอร์ ลดเสียงรบกวน และยังช่วยรักษาอุณหภูมิห้องให้คงที่มากกว่าด้วย สบายตัวขึ้นไหมล่ะ? หรือว่ายังอยากทนกับความร้อนสลับกับความหนาวที่ควบคุมไม่ได้อยู่?
ค่า SEER กับ EER มันต่างกันตรงไหน? (อีกเรื่องที่ชอบทำให้สับสน)
อ้อ มีอีกเรื่องที่ชอบทำให้คนสับสน คือค่า EER (Energy Efficiency Ratio) กับ SEER เนี่ย มันเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ค่า EER จะวัดประสิทธิภาพของแอร์ ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือที่อุณหภูมิคงที่จุดเดียว ส่วน SEER จะวัดประสิทธิภาพตลอดช่วงอุณหภูมิที่หลากหลายตลอดทั้งฤดูกาล พูดง่ายๆ คือ SEER มันดูสมจริงกว่า เพราะในชีวิตจริง อากาศมันไม่ได้คงที่เป๊ะๆ ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ? การที่แอร์มีค่า SEER สูง ก็แปลว่ามันสามารถปรับตัวและยังคงประสิทธิภาพได้ดีในสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็คือชีวิตจริงที่เราต้องเจอทุกวันนั่นแหละ เข้าใจนะ? หรือว่าต้องอธิบายเป็นภาษาเด็กประถมอีกรอบ?
ความแตกต่างของค่า SEER ในแอร์แต่ละประเภท: มาดูกันชัดๆ ว่าใครเป็นใคร!
แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter): พระเอกตัวจริงเรื่องประหยัด (ถ้าเลือกถูกนะ)
นี่คือยุคของอินเวอร์เตอร์ครับคุณ! แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ส่วนใหญ่จะมีค่า SEER ที่สูงกว่าแอร์ระบบธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไปแล้ว แอร์อินเวอร์เตอร์คุณภาพดีอาจมีค่า SEER อยู่ในช่วง 15-25 หรือบางรุ่นท็อปๆ อาจไปถึง 30+ เลยก็มีนะ! ทำไมมันถึงได้ดีขนาดนั้นน่ะเหรอ? ก็เพราะเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์มันทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่ปรับรอบการหมุนให้เหมาะสมกับความเย็นที่ต้องการ ทำให้ไม่ต้องสตาร์ท-ดับบ่อยๆ ซึ่งเป็นช่วงที่กินไฟมากที่สุดนั่นเอง การลงทุนกับแอร์อินเวอร์เตอร์จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ไม่ต้องมานั่งกุมขมับตอนบิลค่าไฟมาทุกเดือนไงล่ะครับ
แอร์ระบบธรรมดา (Non-Inverter / Fixed Speed): คลาสสิกตลอดกาล (แต่ก็กินไฟตลอดกาลเช่นกัน)
ส่วนแอร์ระบบธรรมดา หรือที่เรียกว่า Fixed Speed เนี่ย มันก็เหมือนรถยนต์รุ่นเก่าหน่อย คือ พอตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศา พอห้องเย็นถึง 25 องศา มันก็จะตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ไปเลย พออุณหภูมิสูงขึ้นอีกนิด มันก็จะสตาร์ทคอมเพรสเซอร์ใหม่ ทำให้การทำงานไม่ต่อเนื่อง และมักจะกินไฟมากกว่า ด้วยเหตุนี้ ค่า SEER ของแอร์ระบบธรรมดามักจะอยู่ในช่วงประมาณ 10-14 เท่านั้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอินเวอร์เตอร์ ถ้าคุณยังใช้แอร์ประเภทนี้อยู่ แล้วบ่นเรื่องค่าไฟ... ก็ไม่รู้จะว่ายังไงดีจริงๆ นะครับ
แอร์พกพา (Portable Air Conditioner) และ แอร์เคลื่อนที่ (Window/Through-the-Wall): ความสะดวกที่ต้องแลกด้วยประสิทธิภาพ
สำหรับแอร์ประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นที่ความสะดวกในการเคลื่อนย้ายหรือติดตั้งได้ง่ายๆ แต่ในแง่ของประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน มักจะสู้แอร์บ้านทั่วไปไม่ได้ ค่า SEER ของแอร์ประเภทนี้มักจะอยู่ในระดับต่ำกว่าแอร์ติดผนังทั่วไป โดยอาจจะอยู่ในช่วง 8-12 หรือต่ำกว่านั้นก็เป็นได้ สาเหตุก็เพราะการออกแบบที่เน้นความคล่องตัว การระบายความร้อนที่อาจจะไม่สมบูรณ์เท่าแอร์บ้าน และมอเตอร์ที่อาจจะไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงเท่ารุ่นที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานระยะยาวในบ้านโดยเฉพาะ หากคุณคิดจะใช้แอร์ประเภทนี้เป็นหลัก อาจจะต้องทำใจเรื่องค่าไฟที่อาจจะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้หน่อยนะครับ
แอร์สำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์ หรือ แอร์แบบตู้ตั้งพื้น/แขวนเพดาน: ขนาดใหญ่ แต่ประสิทธิภาพก็มานะ
สำหรับแอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในสำนักงาน ห้างร้าน หรือพื้นที่กว้างๆ เช่น แอร์แบบตู้ตั้งพื้น แขวนเพดาน หรือระบบ VRF/VRV นั้น ค่า SEER อาจจะมีการวัดผลที่แตกต่างกันออกไป หรืออาจจะใช้หน่วยวัดอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่โดยหลักการแล้ว แอร์ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานหนักและยาวนาน มักจะมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะระบบ VRF/VRV ที่สามารถควบคุมการทำงานของแต่ละโซนได้อย่างอิสระ ยิ่งทำให้การบริหารจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ค่า SEER ของแอร์ประเภทนี้อาจจะไม่ได้ระบุตรงๆ แบบแอร์บ้านทั่วไป แต่หากเทียบกับเทคโนโลยีรุ่นเก่า ก็ถือว่ามีการพัฒนาไปมากในเรื่องของการประหยัดพลังงานครับ
การเลือกแอร์ให้คุ้มค่า: มากกว่าแค่ดูที่ค่า SEER (จะได้ไม่โดนหลอกง่ายๆ)
ขนาด BTU ต้องสัมพันธ์กับขนาดห้อง (ไม่ใช่จะซื้อใหญ่ไว้ก่อนแล้วจะดี!)
เอ้า ฟังให้ดี! ก่อนจะไปดู SEER อะไรนั่น สิ่งแรกที่ต้องเช็คคือ "ขนาด BTU" ของแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้องก่อน ถ้าห้องเล็กแต่ซื้อแอร์ BTU สูงๆ มาใช้ มันก็เหมือนเอาช้างมาลากมดแดงนั่นแหละครับ เปลืองไฟโดยใช่เหตุ และแอร์ก็จะทำงานหนักเกินความจำเป็น ในทางกลับกัน ถ้าห้องใหญ่แต่แอร์ BTU น้อย แอร์ก็จะทำงานไม่ถึง ทำให้ห้องไม่เย็นตามต้องการ แล้วก็ต้องมานั่งเปิดแอร์นานๆ กินไฟไปอีก มันเหมือนการเลือกแฟนนะ ต้องให้เข้ากับเรา ไม่ใช่เลือกใครก็ได้มาแล้วบอกว่า "รักนะ" แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกกันเพราะเข้ากันไม่ได้ เข้าใจนะ?
ดูฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5: มาตรฐานที่ช่วยยืนยันความประหยัด
แน่นอนว่าฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่มีดาวหลายๆ ดวง มันก็เป็นตัวช่วยที่ดีในการตัดสินใจนะ เพราะมันบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามมาตรฐานของประเทศเรา แอร์ที่ได้ดาวเยอะๆ ก็มักจะมีค่า SEER ที่สูงตามไปด้วย แต่อย่าเพิ่งเชื่อแค่ดาวอย่างเดียวนะครับ! ลองดูค่า SEER ที่ระบุบนฉลาก หรือสอบถามพนักงานขายประกอบไปด้วย จะได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด ไม่ใช่ว่าเห็นดาวเยอะแล้วซื้อเลย สุดท้ายมานั่งเสียใจทีหลัง มันจะสายเกินไปเหมือนคนอกหักนั่นแหละ
ประเภทสารทำความเย็น (น้ำยาแอร์): R32 คือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ (ในตอนนี้)
เรื่องสารทำความเย็น หรือที่เรียกกันติดปากว่า "น้ำยาแอร์" ก็สำคัญไม่แพ้กันนะ ปัจจุบัน น้ำยา R32 ถือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า R410A และ R22 (ที่ตอนนี้เลิกใช้ไปแล้ว) แถมยังมีประสิทธิภาพในการทำความเย็นที่ดีกว่าด้วย หากเลือกแอร์ที่ใช้ R32 ก็ถือว่าได้เปรียบในเรื่องความประหยัดและผลกระทบต่อโลกเราไปอีกขั้นนะ ก็ถือว่าเป็นแต้มบุญเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณทำได้ ก็ลองเลือกดูแล้วกัน
การรับประกันและการบริการหลังการขาย: อย่าให้ราคาเป็นทุกสิ่ง
บางทีการเลือกแอร์ก็ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีหรือค่า SEER เท่านั้นนะ การรับประกันคอมเพรสเซอร์ที่นานๆ เช่น 5-10 ปี หรือการบริการหลังการขายที่ดี ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาด้วยนะ เพราะถ้าซื้อแอร์มาแล้วใช้งานไม่ได้ หรือมีปัญหาบ่อยๆ แล้วไม่มีใครมาดูแลให้ มันก็เหมือนมีของสวยๆ งามๆ อยู่ในบ้าน แต่ใช้การไม่ได้นั่นแหละ เสียทั้งเงิน เสียทั้งอารมณ์ สุดท้ายก็ต้องมาโทษตัวเองอีกว่าเลือกไม่ดีเอง
ปัญหา และ การแก้ปัญหาที่พบบ่อย
ปัญหา: เลือกแอร์ผิดชีวิตเปลี่ยน ค่าไฟพุ่งสูงจนต้องขายไต!
ปัญหาโลกแตกของคนใช้แอร์ก็คือการเลือกผิดนี่แหละครับ ซื้อแอร์มาแล้วไม่เย็นเท่าที่ควร หรือเปิดแล้วรู้สึกว่าค่าไฟมันแพงกว่าที่คิด ทั้งๆ ที่ก็ดูดีทุกอย่างแล้ว สาเหตุมักจะมาจากการเลือก BTU ไม่ตรงกับขนาดห้อง หรือเลือกแอร์ที่ค่า SEER ต่ำเกินไป หรืออาจจะติดตั้งไม่ถูกต้องก็ได้ สุดท้ายก็ต้องมานั่งเสียใจกับค่าไฟที่สูงลิ่วเหมือนเห็นบิลค่าบ้านหลุดมาอีกใบ
วิธีแก้: เข้าใจก่อนซื้อ ใช้ให้ถูก และดูแลให้ดี!
วิธีแก้ปัญหานี้ก็ง่ายๆ ครับ คือศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนซื้อ โดยเฉพาะเรื่อง BTU และค่า SEER เลือกให้ตรงกับความต้องการและขนาดห้อง ใช้แอร์อย่างถูกวิธี เปิด-ปิดตามเวลาที่จำเป็น หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรอง และเช็คระบบการทำงานของแอร์เป็นประจำ ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดการกินไฟได้แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรพิสดารหรอกครับ แค่นี้ก็รอดแล้ว
3 สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่า SEER
ค่า SEER มีผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนะ!
ใช่แล้วครับ นอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว การเลือกแอร์ที่มีค่า SEER สูงๆ ยังเป็นการช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผลิตมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การลดการใช้พลังงานก็เท่ากับเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วยนะ เป็นการทำดีแบบไม่ต้องลงทุนเพิ่มเลยจริงๆ
เทคโนโลยีใหม่ๆ ช่วยให้ค่า SEER สูงขึ้นเรื่อยๆ
วงการแอร์มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาครับ เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การใช้สารทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การออกแบบใบพัดลมให้ทำงานได้ดีขึ้น หรือระบบควบคุมอัจฉริยะต่างๆ ล้วนมีส่วนช่วยให้แอร์รุ่นใหม่ๆ มีค่า SEER ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การตามเทรนด์เทคโนโลยีก็อาจจะทำให้คุณได้แอร์ที่ทั้งประหยัดและทันสมัยไปพร้อมๆ กัน
ค่า SEER อาจแตกต่างกันไปตามมาตรฐานการวัดของแต่ละประเทศ
อันนี้ต้องระวังนิดนึงนะครับ เพราะบางทีเราอาจจะไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับค่า SEER จากต่างประเทศ ซึ่งมาตรฐานการวัดหรือสภาพอากาศที่นำมาคำนวณอาจจะแตกต่างจากบ้านเรา ทำให้ค่า SEER ที่เห็นอาจจะไม่ได้สะท้อนประสิทธิภาพจริงในบริบทของประเทศไทยเป๊ะๆ ดังนั้น ควรเน้นดูข้อมูลและมาตรฐานที่อ้างอิงจากประเทศไทยเป็นหลัก หรือสอบถามผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่
คำถามที่พบบ่อย (FAQ): ตอบให้หมดเปลือกก่อนจะหายไป!
Q: แอร์อินเวอร์เตอร์ทุกรุ่นมีค่า SEER สูงหมดเลยใช่ไหม?
A: ไม่เสมอไปครับคุณพี่! ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์จะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน แต่ก็ยังมีแอร์อินเวอร์เตอร์บางรุ่นที่อาจจะมีค่า SEER ไม่ได้สูงโดดเด่นมากนักเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในตลาด สาเหตุอาจจะมาจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการควบคุมมอเตอร์ การออกแบบระบบ หรือการตั้งค่ามาตรฐานของผู้ผลิตเอง ดังนั้น การเปรียบเทียบค่า SEER โดยตรงระหว่างรุ่นต่างๆ จึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่ดูว่าเป็นอินเวอร์เตอร์แล้วจะการันตีความประหยัดสูงสุดเสมอไปครับ ควรดูรายละเอียดบนฉลากหรือสเปกสินค้าประกอบด้วยเสมอ จะได้ไม่พลาดไปเลือกแอร์ที่ไม่ได้คุ้มค่าอย่างที่คิดนะ
Q: ถ้าห้องเล็กมาก จำเป็นต้องใช้แอร์ที่มีค่า SEER สูงมากๆ ไหม?
A: สำหรับห้องเล็กๆ ที่ไม่ได้ต้องการความเย็นมากนัก การเลือกแอร์ที่มีค่า SEER สูงลิ่ว อาจจะไม่ได้เห็นผลต่างของค่าไฟที่ชัดเจนมากนักเมื่อเทียบกับการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เพราะแอร์ขนาดเล็กก็กินไฟน้อยอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องการประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง หรืออยากให้ห้องเย็นเร็วและคงที่ การเลือกแอร์ที่มีค่า SEER สูงก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีครับ แต่ถ้าให้เน้นจริงๆ สิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับห้องเล็กคือการเลือก BTU ที่เหมาะสมต่างหาก ลองพิจารณาดูความคุ้มค่าระหว่างราคาที่จ่ายเพิ่มกับส่วนต่างของค่าไฟที่ประหยัดได้ในระยะยาวนะครับ ไม่ใช่สักแต่จะเอาของแพงไว้ก่อน
Q: ค่า SEER ที่ระบุบนฉลากเป็นค่าเฉลี่ยที่แน่นอนแล้วหรือยัง?
A: ค่า SEER ที่ระบุบนฉลากประหยัดไฟ ถือเป็นค่าเฉลี่ยที่คำนวณภายใต้สภาวะทดสอบมาตรฐานที่กำหนดไว้นะครับ ซึ่งเป็นการจำลองการใช้งานในสภาวะที่ใกล้เคียงกับการใช้งานจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในห้องปฏิบัติการ แต่ในความเป็นจริง การใช้งานของแต่ละบ้านอาจจะแตกต่างกันออกไป เช่น การเปิดปิดบ่อยๆ การตั้งอุณหภูมิที่แตกต่างกัน หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น แสงแดด ความร้อนจากอุปกรณ์ในห้อง ก็อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานจริงของแอร์ได้ ดังนั้น ค่า SEER บนฉลากจึงเป็นเพียงตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพเบื้องต้นที่ดี แต่ก็อาจจะไม่ใช่ค่าที่ตรงเป๊ะทุกประการกับการใช้งานจริง 100% ครับ
Q: ควรทำความสะอาดแผ่นกรองแอร์บ่อยแค่ไหนเพื่อรักษาประสิทธิภาพ?
A: โอ๊ย เรื่องแค่นี้ก็ถามอีก! ถ้าอยากให้แอร์มันทำงานดีๆ แบบไม่กินไฟเกินเหตุ ก็ควรทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้งนะครับ ฝุ่นที่อุดตันจะทำให้การไหลเวียนอากาศไม่ดี แลกเปลี่ยนความร้อนได้น้อยลง ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้น กินไฟมากขึ้น แถมยังส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แค่ดึงออกมาล้างน้ำเปล่าแล้วตากให้แห้ง เท่านี้ก็ช่วยยืดอายุและรักษาประสิทธิภาพของแอร์ได้แล้วนะ ไม่ต้องให้ 9tum มาคอยบอกทุกเรื่องหรอกนะ!
Q: มีแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ไหนที่ช่วยเปรียบเทียบค่า SEER ของแอร์รุ่นต่างๆ ได้บ้าง?
A: แน่นอนว่าในยุคดิจิทัลแบบนี้ มันก็ต้องมีสิ! เว็บไซต์ของผู้ผลิตแอร์แบรนด์ต่างๆ มักจะมีข้อมูลสเปกสินค้าพร้อมระบุค่า SEER อย่างชัดเจน หรือบางเว็บไซต์เปรียบเทียบเครื่องใช้ไฟฟ้าก็อาจจะมีข้อมูลเหล่านี้รวบรวมไว้ให้ด้วย ลองค้นหาด้วยคำว่า "เปรียบเทียบแอร์" หรือ "รีวิวแอร์" แล้วดูตามเว็บไซต์ของร้านค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่ๆ หรือเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ก็จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและเปรียบเทียบค่า SEER ของแอร์แต่ละรุ่นได้ง่ายขึ้นครับ แต่ก็อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลจากหลายๆ แหล่งเพื่อความแม่นยำนะ เดี๋ยวจะหาว่า 9tum แนะนำเว็บมั่วๆ มาให้
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่คุณอาจจะสนใจ (ถ้ายังไม่ง่วงนอนนะ)
เว็บไซต์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ที่นี่คือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้มากๆ เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน และมักจะมีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงแอร์ด้วย ลองเข้าไปดูบทความหรือคู่มือเกี่ยวกับการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่เน้นการประหยัดพลังงานได้ที่นี่เลยครับ (egat.co.th) รับรองว่ามีสาระแน่นอน แต่ก็อาจจะน่าเบื่อหน่อยๆ นะ ไม่เหมือน 9tum หรอก
เว็บไซต์ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)
อีกหนึ่งหน่วยงานภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงาน ที่นี่ก็จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงาน และอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงานในบ้าน ลองเข้าไปศึกษาดูนะครับ (dede.go.th) อาจจะได้ความรู้เพิ่มเติมแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ ใครจะไปรู้